ประเภทของฟิล์มกันรอย ตอนที่1
1. ฟิล์มกันรอยแบบใส (Clear Screen Protector)
ฟิล์มกันรอยประเภทนี้สามารถหาซื้อได้ง่าย โดยฟิล์มกันรอยแบบใสมี ให้เลือกหลาย ได้แก่ แบบใส (Clear LCD Screen Guard Protector หรือ Ultra Clear LCD Screen) และ แบบใสไม่สะท้อนแสง (Anti-Glare LCD Screen Guard) สามารถแบ่งได้ตามระดับความใส ถ้าผู้ใช้จะเลือกซื้อฟิล์มกันรอยแบบใสมากก็อาจจะเลือก Ultra Clear อยู่ในระดับ 5-6 หรือ Invisible Screen Protector มีค่าความใส ประมาณ 80 - 99% ซึ่งฟิล์มกันรอยแบบใสจะไม่ทำให้ประสิทธิภาพการแสดงผลของหน้าจอลดลงมากนัก แต่ข้อเสียคือ เห็นรอยนิ้วมือง่ายเมื่อใช้งาน
2.ฟิล์มกันรอยแบบด้าน (Matte Screen Protector)
ข้อดีของฟิล์มกันรอยประเภทนี้ คือ ลดรอยนิ้วมือเมื่อใช้งาน และยังลดแสงจากหน้าจอ ช่วยถนอมสายตาได้ในระดับหนึ่งด้วย รวมถึงลดการสะท้อนจากแสงรอบๆ ด้วย ฟิล์มกันรอยประเภทนี้จะมีลักษณะเป็นสีขาวขุ่นเพื่อป้องกันแสงสะท้อน โดยทั่วไป ประกอบด้วยฟิล์ม 3-5 ชั้น แล้วแต่ชนิดของฟิล์ม แต่โดยส่วนใหญ่จะมี 3 ชั้น คือ ชั้นของ Polyethylene terephthalate (PET) ชั้นของ Silicon และ ชั้นของ Electrostatic โดยทั่วไปจะมีค่าความขุ่น (Haze) ของฟิล์มกันรอยอยู่ในช่วง 5-35% แต่ค่าความขุ่นที่เป็นที่นิยมที่สุดใน คือ 10% ราคาฟิล์มประเภทนี้จะขึ้นอยู่กับค่าการผ่านแสง (Transparency) ซึ่งอยู่ระหว่าง 80 – 95% ถ้ามากขึ้นก็จะมีราคาสูงขึ้นตามลำดับ แต่ข้อด้อยของฟิล์มประเภทนี้ คือประสิทธิภาพในการแสดงผลของหน้าจอจะลดลง สีสรรที่แสดงผลจะไม่ เข้มเท่าหน้าจอปกติ
3. ฟิล์มกันรอยแบบเพิ่มความเป็นส่วนตัว (Privacy Screen Protector)
เป็นแผ่นฟิล์มสีดำ หรือ สีทอง โปร่งใสเพื่อป้องกันการมองเห็นข้อมูล หรือรูปภาพ จากสมาร์ทโฟนเมื่อมองดูจากด้านข้าง โดยใช้เทคโนโลยีไมโครลูเวอร์ ทำงานคล้ายม่านบังตา โดยผู้ใช้จะเห็นข้อมูลรูปภาพต้องมองตรงหน้าจอ 180° เท่านั้น ถ้ามองจากด้านข้างจะมองไม่เห็นข้อมูล ในท้องตลาดที่ใช้พบสองแบบ คือฟิล์มกันรอยแผ่นฟิล์มสีดำ (PF: Privacy filter) และ ฟิล์มกันรอยแผ่นฟิล์มสีทอง (GPF: Gold Privacy filter) แต่ที่นิยมใช้ คือ ฟิล์มกันรอยหน้าจอสีดำ