วิธีการใช้งานแบตเตอรี่สำรอง หรือ Power bank ให้ปลอดภัย
1.เลือกแบตเตอรี่สำรองที่ได้มาตรฐานการผลิต หรือ มอก. โดยสังเกตได้จากสลากสินค้า
2.ชาร์ตแบตเตอรี่ให้เต็มทุกครั้งหลังจากการใช้งานเสร็จ ไม่จำเป็นต้องปล่อยให้ไฟหมด เนื่องจากแบต Lithium-ion นั้นสามารถชาร์จไฟได้ทันที
3.ไม่ควรชาร์จไฟพร้อมกับใช้งานโทรศัพท์มือถือไปด้วย ซึ่งคนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจผิดว่า Power bank นั้นออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานไปด้วย และชาร์จไฟไปด้วยพร้อมกันได้ ซึ่งการทำแบบนี้ ทำให้เกิดความร้อนสูง และอาจจะทำให้เกิดการระเบิดได้ด้วย
4.ระหว่างที่ทำการชาร์จไฟจากแบตเตอรี่สำรองนั้น ควรจะเข้าสู่ Sleep Mode เพื่อให้การชาร์จไฟเข้าโทรศัพท์มือถือนั้นทำได้เร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยการกดที่ปุ่มเปิด-ปิด 1 ครั้ง (ไม่ต้องกดค้าง) เพื่อให้หน้าจอดับ หรืออาจจะรอให้หน้าจอมือถือดับไปเอง สำหรับโทรศัพท์ที่ตั้งค่าพักหน้าจอได้
5.ไม่ควรชาร์จแบตเตอรี่สำรองในที่ที่มีอุหภูมิสูง เช่น ในรถยนต์ที่จอดไว้กลางแจ้ง ห้องนอนที่แดดส่องมาโดนโดยตรง เพราะอุณหภูมิที่สูงมาก จะทำให้เกิดความร้อนจนอาจจะทำให้แบตเตอรี่สำรองเกิดความเสียหายได้นั่นเอง
6. การชาร์จไฟด้วยกระแสไฟสูงในเวลาสั้นอาจ จะทำให้แบตเตอรี่แบบ lithium เสื่อมเร็วขึ้น เช่นอย่างที่ทราบกันแล้วอย่างแพร่หลายการชาร์จด้วย adaptor ของ Tablet หรือแบตสำรองพกพา (Power Bank) ด้วยกระแส 2.1 A ทำการชาร์จได้เร็วจริงแต่ทำให้แบตเตอรี่ภายในทั้งแบตสำรองพกพา (Power Bank)และสมาร์ทโฟน เสื่อมเร็วขึ้นเช่นกัน ควรใช้เท่าที่จำเป็นจริงๆ(แบตเตอรี่ของTabletมีความจุสูงและใช้โวลต์ภายในวงจรแอลซีดีมากกว่า ไม่งั้นจะผลิตมาเฉพาะอุปกรณ์ทำไม ถ้ามันเร็วกว่าโดยไม่ส่งผลเสีย)
7. หากไม่ได้ใช้งานเป็นเวลานานควรเหลือความจุแบตประมาณ 40-50%ของความจุแบตสำรองพกพา
8. อายุการเสื่อมสภาพของแบตสำรองพกพา (Power Bank)หรือไส้แบตลิเทียม นับจากวันผลิต ไม่ใช่วันแรกที่เริ่มใช้งาน ดังนั้นควรเลือกแบตเตอรี่สำรองที่มีการระบุรหัสผลิตหรือระบุวันเดือนปีที่ผลิต