การดูแลรักษาแบตเตอรี่ Apple
"ระยะเวลาในการใช้งานแบตเตอรี่" หมายถึงระยะเวลาที่ อุปกรณ์ของคุณสามารถทำงานได้ก่อนที่จะต้องชาร์จใหม่ ส่วน ''อายุแบตเตอรี่'' หมายถึงระยะเวลาที่แบตเตอรี่ สามารถใช้งานได้จนกว่าจะต้องเปลี่ยนใหม่ ดังนั้นหากคุณสามารถยืดเวลาการใช้งานของทั้งสองส่วนให้นานที่สุดได้ คุณก็จะใช้ประโยชน์จากอุปกรณ์ Apple ของคุณได้อย่าง เต็มประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ชิ้นไหนก็ตาม
วิธีการดูแลรักษาและยืดอายุการใช้งาน
1. อุณหภูมิ
อุปกรณ์ของคุณได้รับการออกแบบมาให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในระดับอุณหภูมิโดยรอบที่หลากหลาย โดยมีช่วงอุณหภูมิที่เหมาะสมที่สุดอยู่ระหว่าง 16 ถึง 22 °C (62 ถึง 72 °F) และที่สำคัญอย่างยิ่งก็คือจะต้องระวังไม่ให้อุปกรณ์ของคุณสัมผัสกับอุณหภูมิโดยรอบที่สูงเกินกว่า 35 °C (95 °F) เพราะอาจส่งผลให้ความจุของแบตเตอรี่ลดลงอย่างถาวร ซึ่งหมายความว่าแบตเตอรี่จะไม่สามารถจ่ายไฟให้อุปกรณ์ได้นานเท่าเดิมจากการชาร์จแต่ละครั้ง และการชาร์จอุปกรณ์ในที่ที่มีอุณหภูมิสูงก็อาจทำให้แบตเตอรี่เสื่อมลงมากกว่าเดิมได้ด้วย หรือแม้แต่การเก็บแบตเตอรี่ไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิสูงก็ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมได้เช่นกัน ส่วนการใช้งานอุปกรณ์ในสภาพแวดล้อมที่เย็นมากนั้น คุณอาจพบว่าแบตเตอรี่หมดเร็วขึ้น แต่อาการเช่นนี้จะเป็นเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น เพราะเมื่ออุณหภูมิของแบตเตอรี่กลับเข้าสู่ช่วงอุณหภูมิการทำงานปกติ ประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ก็จะกลับสู่สภาพเดิม
สภาพอุณหภูมิที่เหมาะสมกับ iPhone, iPad, iPod และ Apple Watch
iPhone, iPad, iPod และ Apple Watch ทำงานได้ดีที่สุดที่อุณหภูมิโดยรอบ 0 ถึง 35 °C (32 ถึง 95 °F) และอุณหภูมิในการจัดเก็บ –20 ถึง 45 °C (–4 ถึง 113 °F )
สภาพอุณหภูมิที่เหมาะสม กับ MacBook
MacBook ทำงานได้ดีที่สุดที่อุณหภูมิโดยรอบ 10 ถึง 35 °C (50 ถึง 95 °F) และอุณหภูมิในการจัดเก็บ –20 ถึง 45 °C (–4 ถึง 113 °F )
2. ในขณะที่ชาร์จควรถอดเคสบางประเภทออกระหว่างชาร์จ การชาร์จอุปกรณ์ขณะที่ใส่อยู่ในเคสบางประเภทอาจทำให้เครื่องร้อนเกินไป และส่งผลเสียต่อความจุของแบตเตอรี่ได้ หากคุณพบว่าอุปกรณ์ของคุณร้อน ในขณะชาร์จ ให้ถอดอุปกรณ์ออกจากเคสก่อน
3. ชาร์จไฟอุปกรณ์ไว้ครึ่งหนึ่งของความจุ หากคุณต้องการจัดเก็บไว้เป็นระยะเวลานาน หากคุณต้องการจัดเก็บอุปกรณ์ของคุณไว้เป็นระยะเวลานาน มีปัจจัยหลักสองประการที่จะส่งผลต่อสภาพโดยรวมของแบตเตอรี่ นั่นคืออุณหภูมิของสภาพแวดล้อม และระดับการชาร์จของอุปกรณ์เมื่อปิดเครื่องเพื่อจัดเก็บ ดังนั้นเราจึงขอแนะนำให้คุณปฏิบัติดังนี้
3.1 ห้ามชาร์จจนเต็มหรือคายประจุจนหมด ให้ชาร์จแบตเตอรี่ของคุณไว้ที่ประมาณ 50% เพราะการเก็บอุปกรณ์ของคุณหลังจากที่ใช้แบตเตอรี่จนหมดเกลี้ยงจะส่งผลให้แบตเตอรี่นั้นเข้าสู่สถานะคายประจุหมด และอาจไม่สามารถเก็บไฟได้อีก ในทางตรงกันข้าม หากคุณเก็บอุปกรณ์ที่ชาร์จไฟไว้เต็มเป็นระยะเวลานาน ความจุของแบตเตอรี่อาจลดลง ซึ่งจะส่งผลให้แบตเตอรี่มีระยะเวลาในการใช้งานลดลง
3.2 ปิดอุปกรณ์เพื่อไม่ให้มีการใช้งานแบตเตอรี่อีก
3.3 เก็บอุปกรณ์ของคุณไว้ในที่ที่มีอากาศเย็นและปราศจากความชื้น ซึ่งมีอุณหภูมิต่ำกว่า 32 °C (90 °F)
3.4 หากคุณคิดจะจัดเก็บอุปกรณ์ของคุณนานกว่า 6 เดือน ขอแนะนำให้คุณชาร์จไฟไว้ที่ 50% ทุกๆ 6 เดือน
อุปกรณ์อาจอยู่ในสถานะแบตเตอรี่ต่ำเมื่อคุณนำกลับมาใช้หลังจากจัดเก็บไว้เป็น ระยะเวลานาน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการจัดเก็บ และเมื่อนำอุปกรณ์กลับมาใช้อีกครั้ง คุณอาจต้องชาร์จเป็นเวลา 20 นาทีด้วยอะแดปเตอร์ที่มาพร้อมเครื่องก่อน จึงจะสามารถใช้งานได้
4. ตั้งค่าให้เหมาะสม
ไม่ว่าคุณจะมีวิธีการใช้อุปกรณ์อย่างไรก็ตาม มีสองวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยยืดระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ นั่นก็คือการปรับความสว่างหน้าจอ และการใช้ Wi-Fi
หรี่ความสว่างของหน้าจอ หรือเปิดใช้งาน "ปรับความสว่างอัตโนมัติ" เพื่อยืดระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่
ในขณะที่คุณใช้อุปกรณ์ของคุณในการรับส่งข้อมูล การเชื่อมต่อกับ Wi-Fi จะใช้พลังงานน้อยกว่าการเชื่อมต่อผ่านเครือข่ายเซลลูลาร์ ดังนั้นจึงดีกว่าหากคุณทำการเชื่อมต่อ Wi-Fi ไว้
5. เปิดใช้งานโหมดพลังงานต่ำ
โหมดพลังงานต่ำ ช่วยให้คุณยืดระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ของ iPhone ได้ง่ายๆ เมื่อแบตเตอรี่ใกล้หมด โดย iPhone จะบอกให้คุณทราบเมื่อแบตเตอรี่ลดลงเหลือ 20% และบอกอีกครั้งเมื่อเหลือเพียง 10% โดยโหมดพลังงานต่ำจะลดความสว่างของจอภาพ ปรับประสิทธิภาพการทำงานของอุปกรณ์ให้เหมาะสม และลดภาพเคลื่อนไหวของระบบให้เหลือน้อยที่สุด และเมื่อไหร่ที่ชาร์จโทรศัพท์จนแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นมาถึงระดับหนึ่งแล้ว โหมดพลังงานต่ำก็จะปิดเองโดยอัตโนมัติ
6. ดูข้อมูลการใช้แบตเตอรี่
iOS ช่วยให้คุณสามารถจัดการกับระยะเวลา การใช้งานแบตเตอรี่บนอุปกรณ์ของคุณได้อย่างง่ายดาย เพราะตอนนี้คุณสามารถดูสัดส่วนของแบตเตอรี่ที่แต่ละแอพใช้ได้ (เว้นแต่ว่าอุปกรณ์กำลังชาร์จแบตเตอรี่อยู่)
7. กิจกรรมเบื้องหลัง ข้อความนี้หมายความว่าแบตเตอรี่ถูกใช้งานโดยแอพที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง ซึ่งก็คือขณะที่คุณกำลังใช้แอพอื่นอยู่นั่นเอง เพื่อยืดระยะเวลาการใช้งานของแบตเตอรี่ คุณสามารถปิดคุณสมบัติที่อนุญาตให้แอพต่างๆ รีเฟรชตัวเองอยู่เบื้องหลังได้ หากแอพเมลมีข้อความแสดงว่ามีกิจกรรมเบื้องหลัง คุณสามารถเลือกที่จะดึงข้อมูลเอง หรือเพิ่มรอบระยะเวลาในการเรียกข้อมูลให้นานขึ้น ได้
8. ตำแหน่งที่ตั้งและตำแหน่งที่ตั้งเบื้องหลัง ข้อความนี้แสดงว่าแอพนั้นกำลังใช้บริการหาตำแหน่งที่ตั้ง คุณสามารถยืดระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ให้ยาวนานที่สุดได้ด้วยการปิดบริการหาตำแหน่งที่ตั้งสำหรับแอพ ในบริการหาตำแหน่งที่ตั้ง คุณจะเห็นแอพต่างๆ ที่ตั้งค่าขออนุญาตใช้บริการนี้ และแอพที่เพิ่งใช้บริการหาตำแหน่งที่ตั้งไป
9. คุณสามารถยืดระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ให้ยาวนานที่สุดได้โดยการเปิดโหมดเครื่องบิน แต่คุณไม่สามารถโทรออกหรือรับสายได้ในขณะที่อยู่ในโหมดเครื่องบิน
ที่มา : https://www.apple.com/th/batteries/maximizing-performance/