วิธีการชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือในรถยนต์
ในยุคนี้การติดต่อสื่อสารมีความสำคัญมาก ดังนั้นการสำรองแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือจึงจำเป็นอย่างยิ่ง ในปัจจุบันการสำรองแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือมีหลายวิธี เช่น การใช้ แบตเตอรี่สำรอง หรือ Power Bank การชาร์จแบตเตอรี่โดยใช้ที่ชาร์จในรถ ก่อนซื้อที่ชาร์จควรตรวจสอบคุณสมบัติของที่ชาร์จว่ารองรับไฟในรถของคุณได้หรือไม่ อุปกรณ์ส่วนใหญ่จะรองรับไฟฟ้า 120 โวลล์ หรือ 5 โวลล์เท่านั้น ทำให้การตรวจสอบนั้นจะง่ายเพราะในป้ายจะบอกชัดเจน แต่อย่างไรก็ดีการเลือกซื้อถ้าเราดูข้อมูลจากที่จุดบุหรี หรือคู่มือรถยนต์ประกอบกันไปด้วย ก็จะทำให้เราสามารถมั่นใจได้ว่า ใช้งานกับรถเราได้แน่นอน

วิธีการชาร์จโทรศัพท์มือถือในรถยนต์ ดังนี้
1.สตาร์ทรถก่อนเสียบที่ชาร์จ
ในการสตาร์ทรถ จะมีกำลังไฟฟ้าเข้ามาในรถเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้อุปกรณ์ต่างๆ ที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรองรับกระแสไฟฟ้าที่มีพลังงงานสูงเสียหายได้ ดังนั้น ควรเสียบที่ชาร์จมือถือเข้ากับรถหลังจากสตาร์ทรถเรียบร้อยแล้ว
2. เสียบที่ชาร์จเข้ากับที่จุดบุหรี่
หลังจากที่สตาร์ทรถ ถือว่าปลอดภัยสำหรับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ดังนั้นการเสียบอุปกรณ์ชาร์จไฟหลังจากรถสตาร์ทรถเรียบร้อย จะช่วยถนอมรักษาอุปกรณ์ให้ใช้ได้นานและรับไฟได้กำลังที่ถูกต้องอยู่เสมอ
3. นำสายเสียบกับมือถือ
การเสียบมือถือก่อนแล้วค่อยเสียบปลั๊กเข้าทั้งไฟบ้านและรถนั้นทำให้ไฟฟ้ากระชากและเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ได้ ดังนั้นควรเสียบปลั๊กจากตัวรับไฟให้เรียบร้อยแล้วค่อยเสียบที่ชาร์จโทรศพท์มือถือ
4. ไม่ควรเปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าในรถหลายๆอย่างขณะชาร์จ
แม้ว่าที่ชาร์จจะเป็นของแท้และมีการันตีเรื่องป้องกันการช็อต ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันว่าความดันไฟจะเสถียรตลอดเวลาที่ชาร์จ เพราะส่วนอื่นๆของรถยนต์ก็ต้องการไฟฟ้าเช่นกัน เมื่อมีการจ่ายไฟออกไปในส่วนต่างๆหลายๆจุด โอกาสที่แรงดันไฟฟ้าจะไม่สม่ำเสมอก็มีสูง ซึ่งทำให้ตัวเครื่องกับแบตเตอรี่มีอายุการใช้งานที่สั้นลงได้
5. ดึงที่ชาร์จโทรศพท์มือถือออกจากที่เสียบก่อนดับเครื่อง
เมื่อต้องการจะดับเครื่องยนต์ ควรดึงที่ชาร์จออกทุกครั้ง ก่อนที่จะดับเครื่อง เพราะเหตุผลเดียวกันกับสตาร์ทรถ นั่นคือกระแสไฟฟ้าอาจจะหายไปทันที และอาจจะทำให้อุปกรณ์ได้รับความเสียหายได้หากใช้งานระยะเวลาที่ยาวนาน
6. ควรเลือกที่ชาร์จที่ได้มาตรฐาน
โดยดูอุปกรณ์ที่มียี่ห้อน่าเชื่อถือ หรือสเปคการรับไฟฟ้าได้เหมาะสม ต้องมีรายละเอียดข้อมูลครบถ้วนและชัดเจน เช่น รองรับการจ่ายไฟกี่ Amp โดยสังเกตจากหน้ากล่องจะมีเครื่องหมายบอกเช่น 1A จะสามารถชาร์จไฟกับมือถือรุ่นปกติได้ แต่จะใช้เวลานาน 2.1A ชาร์จไฟกับมือถือรุ่นใหม่ ๆ หรือ Tablet ส่วนใหญ่ได้ เพราะถ้าเลือกมากไปนั้นผลเสียคือ ความร้อนสูงและเป็นอันตราย ยกเว้นบางรุ่นที่มีระบบควบคุมการจ่ายไฟจะทำให้เกิดความปลอดภัยได้ แต่หากอุปกรณ์ที่รองรับการชาร์จได้มากกว่า 1 ช่องเสียบจะต้องรองรับไฟมากกว่า 2A ขึ้นไป ทั้งนี้ไม่ต้องห่วงว่าแบตเตอรี่รถจะหมดเร็วเมื่อชาร์จกับอุปกรณ์เหล่านี้ เพราะไฟฟ้าที่จ่ายเข้าไปส่วนมากจะรองรับแค่ 5V โดยรถยนต์จะจ่ายไฟได้สูงสุด 120V (โวลล์) เท่านั้นและที่สำคัญที่สุดคือ สายชาร์จมือถือ หรือที่ชาร์จมือถือ หากใช้งานแล้วพบว่ากระแสไฟจ่ายไม่เต็มที่ควรจะเปลี่ยนสาย หรืออุปกรณ์ชาร์จ เพราะอาจก่อให้เกิดความเสียหายจนลัดวงจร