รายงาน 10 แนวโน้มเทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ประจำปีของการ์ทเนอร์ระบุ AI การวิเคราะห์แบบ Augmented Analytics การประมวลผลแบบควอนตัม และบล็อกเชนคือเทคโนโลยีที่สามารถเข้าครองโลกไอทีได้อย่างรวดเร็ว
รายงาน 10 แนวโน้มเทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ประจำปีของการ์ทเนอร์ระบุว่าการผสมผสานของเทคโนโลยีต่างๆ รวมถึงปัญญาประดิษฐ์ และระบบอัตโนมัติจะเริ่มมีผลกระทบต่อธุรกิจและองค์กรด้านไอทีอย่างมากในปี 2562
David Cearley รองประธานของการ์ทเนอร์กล่าวกับผู้เข้าร่วมงาน Gartner Symposium/ITxpo ว่า แนวโน้มทางเทคโนโลยี 10 อันดับแรกแสดงให้เห็นถึงความทับซ้อนกันเช่น การนำเอา IoT ไปใช้ร่วมกับ AI การวิเคราะห์ และการประมวลผลที่อุปกรณ์ขอบนอกของระบบเครือข่าย ซึ่งจะนำเสนอบริการและแอพพลิเคชันชั้นนำสำหรับอุปกรณ์ขอบนอกของระบบเครือข่าย
การ์ทเนอร์เผยถึง 10 แนวโน้มด้านเทคโนโลยีที่น่าจับตามองในปี 2562 จะประกอบด้วย
- สิ่งของอัตโนมัติ: ซึ่งรวมถึงหุ่นยนต์ โดรน และยานพาหนะอัตโนมัติที่จะใช้ AI เพื่อทำให้งานที่มนุษย์เคยทำเป็นไปโดยอัตโนมัติ Cearley เผยว่า “ด้วยการขยายตัวอย่างรวดเร็วของสิ่งของอัตโนมัติ เราคาดว่าจะมีการเปลี่ยนจากสิ่งของอัจฉริยะที่ทำงานตามลำพังไปเป็นกลุ่มของสิ่งของอัจฉริยะที่ทำงานร่วมกัน โดยมีอุปกรณ์หลายอย่างทำงานร่วมกันไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ที่ทำงานได้โดยอัตโนมัติ หรือที่ใช้มนุษย์ป้อนข้อมูล ยกตัวอย่างเช่น ถ้าโดรนสำรวจไร่ขนาดใหญ่พบว่าผลผลิตพร้อมสำหรับการเก็บเกี่ยวแล้วก็จะส่งข้อมูลไปที่เครื่องเก็บเกี่ยวทำงานโดยอัตโนมัติได้”
- การวิเคราะห์แบบ Augmented Analytics: โดย Cearley กล่าวว่าแนวโน้มนี้มุ่งเน้นไปที่ส่วนของความชาญฉลาด การใช้การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning – ML) เพื่อเปลี่ยนวิธีการวิเคราะห์เนื้อหาที่ถูกสร้าง ใช้งาน และแบ่งปันกัน การเพิ่มขีดความสามารถในการวิเคราะห์แบบ Augmented Analytics จะก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและถูกนำไปใช้อย่างกว้างขวางในฐานะของแพลตฟอร์มในด้านการจัดเตรียม จัดการ และการวิเคราะห์ข้อมูลแบบใหม่ การจัดการกระบวนการทางธุรกิจ กระบวนการขุดค้นข้อมูล และวิทยาการด้านข้อมูล ข้อมูลเชิงลึกอัตโนมัติที่ได้จากการวิเคราะห์แบบ Augmented Analytics จะถูกฝังอยู่ในแอพพลิเคชันสำหรับองค์กรที่ถูกใช้งานในแผนกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรบุคคล การเงิน การขาย การตลาด การบริการลูกค้า การจัดหา และบริหารสินทรัพย์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจและการทำงานของพนักงานทุกคนภายในบริบทของตน ไม่ใช่เฉพาะนักวิเคราะห์และนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลเท่านั้น การวิเคราะห์แบบ Augmented Analytics จะทำให้กระบวนการจัดเตรียมข้อมูล การสร้างข้อมูลเชิงลึก และการสร้างภาพข้อมูลเชิงลึกเป็นไปโดยอัตโนมัติ ซึ่งช่วยลดการใช้งานนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลระดับมืออาชีพได้ในหลายๆ สถานการณ์
- การพัฒนาโดยใช้ AI : การ์ทเนอร์เชื่อว่าตลาดกำลังปรับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจากแนวทางที่นักวิทยาศาสตร์ข้อมูลระดับมืออาชีพต้องร่วมกับนักพัฒนาแอพพลิเคชันในการสร้างโซลูชันที่ดีขึ้นโดยใช้ AI ไปสู่รูปแบบของการที่นักพัฒนาซอฟต์แวร์มืออาชีพสามารถทำงานได้ตามลำพังโดยอาศัยโมเดลที่กำหนดไว้ล่วงหน้าที่ถูกจัดส่งในรูปแบบของบริการ ซึ่งนี่เป็นการสร้างระบบนิเวศน์ของอัลกอริทึม AI และโมเดลสำหรับนักพัฒนา และเป็นเครื่องมือในการพัฒนาที่เหมาะกับการรวมเอาความสามารถ และโมเดลด้าน AI ไว้ในโซลูชัน นอกเหนือจากในเรื่องของกระบวนการพัฒนาแอพพลิเคชันระดับมืออาชีพแล้ว การนำ AI มาใช้งานยังเป็นช่องทางในการสร้างโอกาสใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างวิทยาการด้านข้อมูล การพัฒนาแอพพลิเคชัน และฟังก์ชันการทดสอบต่างๆ ได้โดยอัตโนมัติ โดย ในปี 2565 อย่างน้อยร้อยละ 40 ของโครงการพัฒนาแอพพลิเคชันใหม่ๆ จะมีนักพัฒนา AI รวมอยู่ในทีมของพวกเขาด้วย
- ดิจิทัลทวิน: การ์ทเนอร์เผยว่าดิจิทัลทวินหมายถึงการทำสำเนาดิจิทัลจากวัตถุในโลกจริงที่ถูกติดตั้งเซ็นเซอร์ไว้ แล้วรวบรวมข้อมูลส่งกลับมาในรูปแบบข้อมูลดิจิทัล ในปี 2563 การ์ทเนอร์คาดว่าจะมีเซ็นเซอร์และอุปกรณ์ปลายทางที่ถูกเชื่อมต่อกันมากกว่าสองหมื่นล้านตัว และดิจิทัลทวินจะเกิดขึ้นมาเพื่อรองรับสิ่งของหลายพันล้านชิ้นเหล่านั้น องค์กรต่างๆ จะสามารถติดตั้งใช้งานดิจิทัลทวินได้ง่ายขึ้น พวกเขาจะพัฒนาดิจิทัลทวินได้ตลอดเวลาเพื่อปรับปรุงความสามารถในการรวบรวมและดูข้อมูลที่ถูกต้อง ใช้การวิเคราะห์และกฎที่เหมาะสมและตอบสนองต่อวัตถุประสงค์ทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- อุปกรณ์ขอบนอกของระบบเครือข่าย: ที่มีขีดความสามารถมากขึ้น ในระยะสั้น อุปกรณ์ขอบนอกของระบบเครือข่ายจะถูกผลักดันโดย IoT และต้องการการประมวลผลที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับคลาวด์เซิร์ฟเวอร์แบบรวมศูนย์ การ์ทเนอร์คาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า ด้วยชิป AI แบบพิเศษพร้อมด้วยพลังการประมวลผลที่สูงขึ้น การจัดเก็บและความสามารถขั้นสูงอื่นๆ จะถูกเพิ่มลงไปในอุปกรณ์ขอบนอกของระบบเครือข่ายที่หลากหลายขึ้น ความแตกต่างอย่างมากของโลก IoT แบบฝังตัวนี้ และวงจรชีวิตของทรัพย์สินที่ยาวนานขึ้นเช่นระบบอุตสาหกรรมจะก่อให้เกิดความท้าทายด้านการจัดการที่สำคัญ ในระยะยาว เมื่อระบบ 5G นิ่งแล้ว การขยายสภาพแวดล้อมในการประมวลผลของอุปกรณ์ขอบนอกของระบบเครือข่ายจะมีการสื่อสารกลับไปสู่บริการแบบรวมศูนย์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะ 5G มีความหน่วงต่ำ ให้แบนด์วิดธ์ที่สูงขึ้น และ (สำคัญมากสำหรับอุปกรณ์ขอบนอกของระบบเครือข่าย) การเพิ่มจำนวนของโหนดต่อตารางกิโลเมตรอย่างมาก
- ประสบการณ์ในการมีส่วนร่วมที่สมจริง: การ์ทเนอร์กล่าวว่าแพลตฟอร์มด้านการโต้ตอบระหว่างเครื่องกับมนุษย์กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีที่ผู้คนโต้ตอบกับโลกดิจิทัล ความเป็นจริงเสมือนจริง (VR) ความเป็นจริงเสริม (AR) และความเป็นจริงผสม (MR) เปลี่ยนวิธีที่คนรับรู้โลกดิจิทัล การเปลี่ยนแปลงนี้รวมกันในรูปแบบการรับรู้และการปฏิสัมพันธ์ที่นำไปสู่ ประสบการณ์ในการมีส่วนร่วมที่สมจริงในอนาคต “เมื่อเวลาผ่านไปเราจะเปลี่ยนจากความคิดถึงอุปกรณ์เป็นชิ้นๆ และเทคโนโลยีด้านการติดต่อกับผู้ใช้แบบแยกส่วนไปเป็นประสบการณ์ในการใช้งานหลากรูปแบบหลายช่องทาง ประสบการณ์ในการใช้งานในหลายรูปแบบจะเชื่อมโยงคนเข้ากับโลกดิจิทัลผ่านอุปกรณ์ขอบนอกของระบบเครือข่ายหลายร้อยชิ้นที่ล้อมรอบพวกเขาอยู่ รวมทั้งอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์แบบสวมใส่ รถยนต์ เซ็นเซอร์ด้านสิ่งแวดล้อม และอุปกรณ์สำหรับผู้บริโภคต่างๆ
- บล็อกเชน: การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมจะมีการปรับตัวเพื่อทำให้เกิดความไว้วางใจ ให้ความโปร่งใส และลดแรงเสียดทานในระบบนิเวศน์ของธุรกิจซึ่งอาจช่วยลดต้นทุน ลดเวลาในการทำธุรกรรม และทำให้กระแสเงินสดดีขึ้น ทุกวันความไว้วางใจยังอยู่กับธนาคาร สำนักหักบัญชี รัฐบาล และสถาบันอื่นๆ อีกมากมายในฐานะหน่วยงานกลางที่มี “การรวมข้อมูลเป็นชุดเดียวกัน” เพื่อเก็บรักษาไว้อย่างปลอดภัยในฐานข้อมูลของพวกเขา รูปแบบความไว้วางใจแบบรวมศูนย์ทำให้เกิดความล่าช้าและมีค่าใช้จ่าย “เทคโนโลยีและแนวคิดของบล็อกเชนในปัจจุบันยังไม่ได้รับการยอมรับ และมีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง รวมถึงยังไม่ได้รับการพิสูจน์จากการนำไปใช้ในการดำเนินธุรกิจที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับองค์ประกอบที่ซับซ้อนก็ยังทำให้สถานการณ์มีความซับซ้อนมากขึ้น” Cearley กล่าว “แม้จะยังไม่ใช้เทคโนโลยีอย่างจริงจังในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แต่ซีไอโอและผู้นำด้านไอทีก็ควรเริ่มต้นประเมินบล็อกเชน”
- พื้นที่อัจฉริยะ: การ์ทเนอร์นิยามพื้นที่อัจฉริยะว่าเป็นสภาพแวดล้อมทางกายภาพหรือดิจิทัลที่มนุษย์และระบบที่เปิดใช้งานเทคโนโลยีสามารถโต้ตอบกันในระบบนิเวศน์อัจฉริยะที่เชื่อมต่อกัน ทำงานร่วมกัน และเป็นระบบเปิดมากขึ้น องค์ประกอบหลายอย่างรวมถึงคน กระบวนการ บริการ และสิ่งต่างๆ ถูกนำมารวมไว้ในพื้นที่อัจฉริยะเพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานแบบอัตโนมัติ โต้ตอบกันได้และมีความรู้สึกมีส่วนร่วมให้กับคน หรืออุตสาหกรรมที่เป็นเป้าหมาย
- จรรยาบรรณและความเป็นส่วนตัวแบบดิจิทัล: จริยธรรมและความเป็นส่วนตัวแบบดิจิทัลได้สร้างความกังวลให้กับบุคคล องค์กร และรัฐบาลที่เพิ่มขึ้น ผู้คนมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับวิธีที่องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนนำข้อมูลส่วนบุคคลของพวกเขาไปใช้งาน โดยองค์กรที่ไม่ได้ตอบสนองต่อความกังวลเหล่านี้ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วองค์กรต่างๆ จะถูกผลักดันให้เห็นถึงความสำคัญของจริยธรรมและความไว้วางใจ ซึ่งจะทำให้เปลี่ยนจากแค่ “เรากำลังทำตามกฎหมาย” ไปเป็น “เรากำลังทำในสิ่งที่ถูกต้อง”
- การประมวลผลแบบควอนตัม: การ์ทเนอร์กล่าวว่าการประมวลผลแบบคู่ขนานและความสามารถในการขยายขนาดของคอมพิวเตอร์ควอนตัมหมายความว่าพวกมันมีความเก่งกาจในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนที่วิธีการแบบเก่าหรืออัลกอริธึมแบบเดิมจะใช้เวลานานในการหาแนวทางแก้ไขปัญหา อุตสาหกรรมยานยนต์ การเงิน ประกันภัย บริษัทยา ทหารและการวิจัยได้รับประโยชน์สูงสุดจากความก้าวหน้าในการประมวลผลแบบควอนตัม Cearley กล่าวว่าซีไอโอและผู้นำฝ่ายไอทีควรเริ่มต้นวางแผนด้านการประมวลผลแบบควอนตัมโดยการเพิ่มการทำความเข้าใจและวิธีการนำไปใช้กับปัญหาทางธุรกิจในโลกแห่งความเป็นจริง เรียนรู้ในขณะที่เทคโนโลยียังคงอยู่ในสถานะเริ่มต้น แยกแยะปัญหาในโลกแห่งความเป็นจริงที่การประมวลผลแบบควอนตัมจะเข้ามาจัดการและพิจารณาถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อระบบรักษาความปลอดภัย” Cearley กล่าวอีกว่า “แม้จะไม่เชื่อว่าการประมวลผลแบบควอนตัมจะปฏิวัติหลายสิ่งในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แต่องค์กรส่วนใหญ่ควรเรียนรู้และตรวจสอบการประมวลผลแบบควอนตัมไปจนถึงปี 2565 และอาจนำมาใช้ประโยชน์กันได้จริงในราวปี 2565 หรือ 2568”
ที่มา : www.pantavanij.com